เรียนรู้ชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557


เขียนโดย Unknown ที่ 02:21 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

รายชื่อสมาชิกกลุ่มที่2

  • 098 ธนพร โพธิ์ทอง
  • 130 นายวุฒินันท์ จรรยารักษ์
  • 181 นิภาพร บุตรอินทร์
  • 198 ปณิตตา พวงสวัสดิ์
  • 314 อรุณี ทองแข็ง

คำคมประจำใจ

คำคมประจำใจ

ประวัติส่วนบุคคล

พ่อตั้งให้: นางสาวมลฑา สุภาพพันธุ์

เพื่อน ๆ เรียก: อ้อ

อายุ: 32 ปี

สัญชาติ : ไทย เชื้อชาติ : ไทย

ศาสนา : พุทธ

ส่วนสูง : 156 ซม.

น้ำหนัก: 56 กก.

สถานะภาพ: สมรส

พี่น้อง: 5 คน

การศึกษา

มัธยมศึกษาตอนปลาย : โรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม จังหวัดพะเยา

ประสบการณ์ทำงาน

พฤษภาคมคม 2556 – ปัจจุบัน บริษัท ดราก้อนพลัสเอ็กเพรส เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด

ตำแหน่ง: ธุรการ





























ข้อคิดดี ๆ ในการดำเนินชีวิต

ข้อคิดดี ๆ ในการดำเนินชีวิต

แบบฝึกหัดท้ายบทเรียน

คำถามท้ายบทที่ 1

1. จงอธิบายความหมายของคำดังต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ในชีวิตประวัน



เทคโนโลยี หมายถึงการใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการเทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธิกระบวนการตลอดจน ผลงานทางวิทยาศาสตร์ สิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้มีมากยิ่งขึ้น เช่นในอดีตโทรทัศน์จะเป็นแบบขาวดำ ปัจจุบันโทรทัศน์จะมีแต่โทรทัศน์สีและสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้



สารสนเทศ หมายถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการนำข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาผ่านกระบวนการประมวลผล วิเคราะห์หลังสรุป จนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เช่น การหาข้อมูลของสินค้าชนิดเดียวกัน แต่หลาย ๆ ยี่ห้อ นำมาเปรียบเทียบวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติของแต่ละยี่ห้อ ว่ามีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้างเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ



เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล การแสดงผลลัพธ์ การทำสำเนา การสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น การใช้ Internetในการค้นหาข้อมูลหรือหาแหล่งที่ตั้งของจุดหมายปลายทางที่ต้องการรู้หรือต้องการไปจากนั้นก็ปริ้นออกมาเป็นกระดาษหรือส่งข้อความเข้าไปใน E-mail เพื่อเปิดดูในมือถือระหว่างเดินทาง




ข้อมูล หมายถึงข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของสถานที่ ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ต่อการสื่อสารการแปลความหมายและการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวมการวัดข้อมูลเป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใด ๆที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่อง ตัวอย่าง เช่น คะแนนสอบ ชื่อนักเรียนเพศ อายุ



ฐานความรู้ หมายถึงเป็นระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อใช้เป็นฐานในการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบผู้เชี่ยวชาญเป็นระบบที่อาศัยความรู้เป็นพื้นฐาน เป็นระบบที่มีความเกี่ยวข้องกับการช่วยตัดสินใจซึ่งสามารถใช้ได้กับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS)ได้ทุกเรื่อง เช่นการที่นำข้อมูลหรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาหาสาเหตุ เพื่อแก้ปัญหาโดยเทียบจากประวัติข้อมูลการแก้ปัญหาที่ได้จัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่มีเคสตัวอย่างให้ศึกษาหลาย ๆ กรณี เพื่อเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการนำมาใช้





2. โครงสร้างสารสนเทศมีอะไรบ้างจงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างอยู่ด้วยกัน 4ระดับได้แก่



ระดับล่างสุด คือใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลที่เรียกว่าระบบการประมวลผลรายการ เช่นการที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร และได้มาซึ่งคำตอบ



ระดับที่สอง คือการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผลการตัดสินใจและควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับงานประจำวัน ซึ่งเรียกว่างานควบคุมการดำเนินงาน เช่นการใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวเก็บประวัติเวลาทำงานของพนักงานในแต่ละวันเพื่อคำนวณออกมาเป็นค่าจ้าง




ระดับที่สาม คือการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับกลางใช้ในการจัดการและวางแผนระยะสั้นตั้งแต่ 6 เดือน 1 ปี ซึ่งเรียกว่างานควบคุมการจัดการ เช่น การนำ Programsale forecast มาใช้ในการสรุปยอดขายในแต่ละไตรมาตรของปีนั้น



ระดับที่สี่ คือการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงใช้สำหรับวางแผนการระยะยาวซึ่งเรียกว่าการวางแผนกลยุทธ์ เช่น การใช้ Program ออกแบบแผนภูมิหรือแผนนโยบายโดย Link สูตรข้อมูลกับฐานข้อมูลในองค์กรซึ่งสรุปออกมาถึงผลลัพธ์และแนวทางในการดำเนินการต่อในปีต่อ ๆ ไปเพื่อประโยชน์และผลกำไรขององค์กร



3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอะไรบ้างจงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง



วิวัฒนาการของเทศโนโลยีสารสนเทศแบ่งเป็น 4 ยุค ได้แก่



ยุคการประมวลผลข้อมูล เป็นยุคแรกของการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ วัตถุประสงค์ช่วงนั้นคือเพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลประจำวันเพื่อลดค่าใช้จ่ายและบุคลากรลง เช่นอดีตใช้คนในการบันทึกข้อมูล และใช้แฟ้มเก็บข้อมูลปัจจุบันได้นำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและจัดเก็บเอกสารทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟ้มและจ้างคนลดลง



ยุคระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นยุคที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในงานด้านการตัดสินใจดำเนินการควบคุมติดตามผล ตลอดจนวิเคราะห์งานของผู้บริหาร เช่น การนำ ProgramSale forecast มาใช้สรุปยอดขายในแต่ละไตรมาตรของปีนั้น



ยุคระบบจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เป็นการเรียกใช้สารสนเทศ เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจในการนำองค์กรหรือหน่วยงานไปสู่เป้าหมายอันเป็นความสำเร็จ เช่น การใช้ Program Sale cycle มาใช้ในการสรุป Status ของงานที่เสนอราคาให้กับลูกค้านั้นๆ และใช้ในการตามงานว่ามีโอกาสสำเร็จหรือโอกาสเสียงานมากน้อยเพียงใด ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญอย่างรวดเร็ว ทำให้มีทางเลือกและเกิดรูปแบบใหม่ ๆของสินค้าและบริการรวมเรียกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศโดยมุ่งเน้นของการให้บริการสารสนเทศ เช่นการเข้าไปเลือกซื้อสินค้าที่เราต้องการซื้อจาก Website ขายสินค้าใน Internet ได้อย่างสะดวกสบายและสามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้



*****************************************************















คำถามท้ายบทที่ 2

1. จงอธิบายความหมาย พร้อมยกตัวอย่างของคำดังต่อไปนี้

Hareware หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เม้าส์ เป็นต้น

Software หมายถึง การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน เช่น การซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต ผู้ขายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบัตร แล้วส่งข้อมูลของบัตรเครดิตไปยังศูนย์ข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร

Peopleware หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ เช่น โปรแกรมเมอร์ Data หมายถึง ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริงสิ่ง ที่ได้จากการสังเกตปรากฎการณ์ การกระทำ หรือลักษณะต่าง ๆ ของวัตถุ สิ่งของ สัตว์ หรือ พืช แล้วบันทึกไว้เป็นตัวเลข สัญลักษณ์ ภาพ หรือเสียง

Information หมายถึง ความรู้ ความสามารถและทักษะของบุคคลในการเข้าถึงสารสนเทศ ประเมินสารสนเทศที่ค้นมาได้ และใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพทุกรูปแบบ ผู้รู้สารสนเทศจะต้องมีทักษะในด้านต่างๆ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์และหรือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการใช้ภาษา ทักษะการใช้ห้องสมุด ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2. หากนักศึกษาเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังต่อไปนี้ (เลือก 1 ธุรกิจ) จะนำองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ Hardware, Software และ Peopleware ใดมาใช้ในธุรกิจบ้าง เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ร้านอาหาร

ร้านอาหาร เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น เวลาเข้าไปในร้านก็จะมีพนักงานต้อนรับหน้าร้านถือเครื่อง Pocket pc ที่เชื่อมโยงไปบนฐานข้อมูลของร้าน สามารถดูสถานะโต๊ะทั้งหมดหรือแบ่งตามโซนจากเครื่อง Pocket pc ทำให้ทราบสถานะโต๊ะที่ว่างให้ลูกค้าทราบได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังสามารถสั่งอาหารได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เมนูอาหารจานเดียว, อาหารเป็นชุด หรือกลุ่มเครื่องดื่ม เมื่อสั่งอาหารได้แล้วก็ส่งข้อมูลรายการอาหารที่สั่งพิมพ์ไปยังครัวได้ทันทีหรือสั่งรายการพิมพ์ซ้ำได้โดยผ่านโปรแกรม pRomise print Manager ซึ่งรองรับเครื่องพิมพ์ไม่จำกัดจำนวน ไม่จำกัดชนิด สามารถดูประวัติการพิมพ์ได้ตลอดเวลาและดูสถานะการพิมพ์ ณ ปัจจุบัน สามารถเตือนการพิมพ์ได้เมื่อเครื่องพิมพ์มีปัญหา สามารถทำงานการจัดการโต๊ะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การย้ายโต๊ะ การรวมโต๊ะ การเปลี่ยนโต๊ะโดยง่าย เมื่อพื้นที่บริการมีมากขึ้น โปรแกรมสามารถรองรับการเพิ่มจำนวนเครื่อง Pocket pc ได้ เพราะการทำงานเป็นแบบ Wireless Network สามารถส่งข้อมูลติดต่อกันระหว่างเครื่อง Computer Desktop กับเครื่อง Pocket pc เพื่อแลกเปลี่ยนการสั่งงาน เช่น การเรียกเก็บเงินลูกค้า โดยเครื่อง Pocket pc สามารถส่งข้อความไปบอก Front End ได้ พร้อมข้อความเตือนการส่ง

3. ให้นักศึกษา แสดงข้อมูล จำนวน 1 ชุด พร้อมทั้งแสดงในรูปแบบของระบบสารสนเทศ





ภาพข้อมูลสารสนเทศ

ภาพข้อมูลสารสนเทศ

ภาพสารสนเทศ

ภาพสารสนเทศ

คำถามท้ายบทที่ 3

1. ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิคส์ แบ่งได้กี่วิธี อะไรบ้าง

การประมวลผลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิคส์แบ่งได้ 3 วิธี

ระบบการประมวลผลข้อมูลที่ศูนย์กลาง (Centralized Processing) คือ การประมวลผลข้อมูลทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่เครื่องหลักเพียงเครื่องเดียว ซึ่งในระยะแรกผู้ที่ต้องการทำการประมวลผลข้อมูลจะต้องไปใช้งานที่ศูนย์กลางที่ตัวเครื่องตั้งอยู่เท่านั้นแต่เมื่อระบบการสื่อสารข้อมูลก้าวหน้าขึ้นก็ได้เกิดวิธีการช่วยให้การประเมินผลที่ศูนย์กลางสามารถกระทำได้สะดวกขึ้น คือการประมวลผลทางไกล (Teleprocessing) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อมาใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์กลางได้จากระบบสื่อสารต่างๆแต่การประมวลผลก็จะอยู่ที่ศูนย์กลางเช่นเดิม

ระบบการประมวลผลข้อมูลไคลเอนด์-เซิร์ฟเวอร์ (Client-Server Processing) คือการประมวลผลที่ได้รับความนิยมในยุคถัดมา เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพของเครื่องสูงขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดแนวคิดที่จะประมวลผลมาทำงานที่ PC โดยในระบบนี้เครื่อง PC โดยในระะบบนี้เครื่อง PC จะเรียกใช้งานโปรแกรมที่ทำหน้าที่คุยกับโปรแกรมที่คอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง และรับหน้าที่ในการนำข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลในรูปแบบต่างๆที่เหมาะสม รวมทั้งรับหน้าที่ใสส่วนของการโต้ตอบและรับข้อมูลจากผู้ใช้

ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Processing) คือ เป็นการประมวลผลที่ได้รับการพัฒนาในขั้นต่อมา โดยจะมีการกระจายภาระการประมวลผลไปยังเครื่องต่างๆที่เชื่อมกันอยู่กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์และนำผลลัพธ์ที่ได้มารวมกันซึ่งวิธีการนี้ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของระบบโดยรวม รวมทั้งยังสามารถลดจำนวนข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่ายได้ด้วย


2. จงเรียงลำดับโครงสร้างข้อมูลจากขนาดเล็กไปใหญ่ พร้อมอธิบายความหมายของโครงสร้างข้อมูลแต่ละแบบ

การจำแนกโครงสร้างข้อมูล จำแนกเป็น 3 ประเภท

โครงสร้างข้อมูลพื้นฐาน (Primitive Data Structure) มีค่าเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังนี้

1. เลขจำนวนเต็ม (Integer)
2. ตรรกะ (Boolean)
3. อักษร (Character)
4. เลขจำนวนจริง (Real) ฯลฯ

- แต่ละภาษา Com. จะมีวิธีการและการกำหนดคำสั่งที่แตกต่างกัน
- โครงสร้างของไวยากรณ์แต่ละภาษา จะแตกต่างกัน
- การประกาศตัวแปรบางภาษา ประกาศแบบเป็นทางการ (Explicit Declare) : แยกเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก : Pascal , Cobol
-ประกาศตัวแปรภายในโปรแกรม (Implicit Declare) ไม่ต้องแยกออกมาเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากคำสั่ง : Fortrane ฯลฯ

โครงสร้างข้อมูลที่มีส่วนประกอบอย่างง่าย (Simple Data Structure)

- นำเอาข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานประกอบขึ้นมาเป็นชุดของข้อมูล
- มีความสัมพันธ์กันในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง
- เช่น ข้อมูลรูปแบบArray รูปแบบข้อมูลแบบ Record ฯลฯ โครงสร้างข้อมูลที่มีส่วนประกอบซับซ้อน (Compound Data Structure)
- นำเอาข้อมูลที่มีส่วนประกอบอย่างง่ายๆมาประกอบขึ้น เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน
- เป็นการเฉพาะกิจภายใน Prog.
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยๆ

1. ชุดข้อมูลสัมพันธ์เชิงเส้นตรง (Linear Structure) : Linked – List Stack Queue ฯลฯ
2. ชุดข้อมูลสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง (Non - Linear Structure) : Binary Tree Graph Tree, M- way Search Tree ฯลฯ

3. หากนำเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในหน่วยงานที่นักศึกษาทำงานอยู่ สามารถมีระบบใดบ้าง และระบบฐานข้อมูลนั้นมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร

เนื่องจากบริษัทฯ ที่ได้ประจำอยู่เป็นรูปแบบของสาขาซึ่งการติดต่อสื่อสารกับทางสำนักงานใหญ่จะใช้ช่องทาง E-Mail กับทางโทรศัพท์ และ แฟกซ์ ทางผมจึงใช้ระบบฐานข้อมูลแบบ แบ่งตามจำนวนผู้ใช้ซึ่งมีผู้ใช้หลายคน หรือ Workgroup Database ซึ่งการใช้งานแบบนี้ ทาง User ผู้ใช้งานทุกคนจะต้องสร้าง Workgroup ของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ตรงกับเครื่อง PC ที่ใช้เป็นเครื่องเก็บข้อมูลส่วนกลางและ Share Floder แฟ้มงานให้พนักงานหรือ User สามารถเข้าไปดูข้อมูลที่ต้องการตลอดการเพิ่มข้อมูล หรือแก้ไข Update ข้อมูลต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นส่วนกลางได้ และนอกจากนี้ยังเป็นเครื่องส่วนกลางในการ Output ข้อมูลออกปลายทางไปยังเครื่อง Printer ในกรณีที่พนักงานหรือ User ต้องการ Print ข้อมูลในระบบส่วนกลางหรือข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองโดยที่เครื่อง PC ส่วนกลางเป็นเครื่องหลัก Share Printer ให้กับ User ที่อยู่ใน Workgroup เดียวกันใช้งานอย่างสะดวกสบาย

ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล

1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
2. รักษาความถูกต้องของข้อมูล
3. ใช้ข้อมูลร่วมกันโดยมีการควบคุมจากศูนย์กลาง


4. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการประมวลผลข้อมูลแบบแบซและแบบเรียลไทม์

1. การประมวลผลแบบแบชช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดการใช้ทรัพยากรในระบบคอมพิวเตอร์ แต่การปประมวลผลแบบเรียลไทม์จะใช้ค่าใช้จ่ายสูงและใช้ฮาร์แวร์กับซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะเฉพาะ
2. การประมวลผลข้อมูลแบบแบช จะต้องจัดเรียงกลุ่มข้อมูลในขั้นต้นก่อนการประมวลผล แต่การประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ จะต้องมีระบบการจัดการกับโปรแกรมควบคุมปฏิบัติงาน Operating System
3. การประมวลผลข้อมูลแบบแบช เหมาะกับงานพื้นฐานขององค์กร ห้างร้านต่างๆ ที่มีข้อมูลเข้าปริมาณมาก แต่การประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ เหมาะกับหน่วยงานที่มีหน่วยงานย่อยหลายสาขาและอยู่ห่างไกลกัน

***********************************************************



คำถามท้ายบทที่ 4

1. สื่อกลางประเภทมีสายแต่ละประเภท มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง จงเปรียบเทียบ

ข้อดี
1. ป้องกันสัญญาณรบกวน
2. มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 10/100Mbps
3. มีฉนวนด้านนอกหนา
4. ใช้งานในการเชื่อมต่อระยะทางใกล้ๆ

ข้อเสีย
1. ไม่สามารถใช้รับ-ส่งสัญญาณได้เกิน 185 เมตร
2. มีความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำ


2. การนำระบบเครือข่ายมาใช้ในองค์กร มีประโยชน์อย่างไร

สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ โมเด็ม เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และสามารถใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม และข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ที่ฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง File Server ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกัน ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเครื่อง ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินทางไปสำเนาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะใช้การเรียกใช้ข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั่นเอง เครื่องลูก (Client) สามารถเข้ามาใช้ โปรแกรม ข้อมูล ร่วมกันได้จากเครื่องแม่ (Server) หรือระหว่างเครื่องลูกกับเครื่องลูกก็ได้ เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บโปรแกรม ไม่จำเป็นว่าทุกเครื่องต้องมีโปรแกรมเดียวกันนี้ในเครื่องของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้ (Telecommunication) การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่าย ทั้งประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทำให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ระยะไกลได ้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีการให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสืบค้นข้อมูล (Serach Engine) เป็นต้น


3. หากนำระบบเครือข่ายมาใช้ในองค์กรนักศึกษาจะเลือกรูปแบบของระบบเครือข่าย (Lan Topology) แบบใดเพราะอะไร

Wireless Lan เพราะมีความคล่องตัวสูง ดังนั้นไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่ไปที่ไหน หรือเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปตำแหน่งใด ก็ยังมีการเชื่อมต่อ กับเครือข่ายตลอดเวลา ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะการส่งข้อมูล สามารถติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องเสียเวลาติดตั้งสายเคเบิล และไม่รกรุงรัง ลดค่าใช้จ่ายโดยรวม ที่ผู้ลงทุนต้องลงทุน ซึ่งมีราคาสูง เพราะในระยะยาวแล้ว ระบบเครือข่ายไร้สายไม่จำเป็นต้องเสียค่าบำรุงรักษาและการขยายเครือข่ายก็ลงทุนน้อยกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องด้วยความง่ายในการติดตั้ง


4. อินเตอร์เน็ตมีข้อดีต่อระบบการศึกษาไทยอย่างไร

อินเทอร์เน็ตสามารถให้ผู้เรียนติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว และ สามารถสืบค้นหรือเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลก จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัยการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตกับกิจกรรมตามหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้านการคิดอย่างมีระบบ (High - Order Thinking Skills) การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) การวิเคราะห์สืบค้น (Inquiry - Based Analytical Skill) การวิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา และการคิดอย่างอิสระเป็นการสนับสนุนกระบวนการสหสาขาวิชาการ (Interdisciplinary) คือ ในการนำเครือข่ายมาใช้เชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น นักการศึกษาสามารถที่จะบูรณาการการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เช่นคณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม ภาษา วิทยาศาสตร์ ฯลฯ เข้าด้วยกันอินเทอร์เน็ตเมื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาก็จะทำให้เกิดประโยชน์และสร้างความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาให้มากยิ่งขึ้น


*******************************************************



คำถามท้ายบทที่ 5

1. อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ คืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นส่วนสำคัญ มีการจำแนกไว้ดังนี้

1. Novice เป็นพวกเด็กหัดใหม่(newbies)ที่เพิ่งเริ่มหัดใช้คอมพิวเตอร์มาได้ไม่นาน หรืออาจหมายถึงพวกที่เพิ่งได้รับความไว้วางใจให้เข้าสู่ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

2. Darnged person คือ พวกจิตวิปริต ผิดปกติ มีลักษณะเป็นพวกชอบความรุนแรง และอันตราย มักเป็นพวกที่ชอบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของ หรือสภาพแวดล้อม

3. Organized Crime พวกนี้เป็นกลุ่มอาชญากรที่ร่วมมือกันทำผิดในลักษณะขององค์กรใหญ่ๆ ที่มีระบบ พวกเขาจะใช้คอมพิวเตอร์ที่ต่างกัน โดยส่วนหนึ่งอาจใช้เป็นเครื่องหาข่าวสาร เหมือนองค์กรธุรกิจทั่วไปอีกส่วนหนึ่งก็จะใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นตัวประกอบสำคัญในการก่ออาชญากรรม หรือใช้เทคโนโลยีกลบเกลื่อนร่องร่อย ให้รอดพ้นจากเจ้าหน้าที่

4. Career Criminal พวกอาชญากรมืออาชีพ เป็นกลุ่มอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่มากกลุ่มนี้น่าเป็นห่วงมากที่สุด เนื่องจากนับวันจะทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจับผิดแล้วจับผิดเล่า บ่อยครั้ง

5. Com Artist คือพวกหัวพัฒนา เป็นพวกที่ชอบความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตนอาชญากรประเภทนี้จะใช้ความก้าวหน้า เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และความรู้ของตนเพื่อหาเงินมิชอบทางกฎหมาย

6. Dreamer พวกบ้าลัทธิ เป็นพวกที่คอยทำผิดเนื่องจากมีความเชื่อถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างรุ่นแรง

7. Cracker หมายถึง ผู้ที่มีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีจนสามารถลักลอบเข้าสู่ระบบได้ โดยมีวัตถุประสงค์เข้าไปหาผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง มักเข้าไปทำลายหรือลบไฟล์ หรือทำให้คอมพิวเตอร์ใช้การไม่ได้ รวมถึงทำลายระบบปฏิบัติการ

ตัวอย่าง................

1. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เช่น การขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ

2. ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เช่น ลงภาพเปลือยและมีเสียง

3. แทรกแซงข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็น ประโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักรอบค้นหารหัสบัตรเครดิตคนอื่นมาใช้ ดักข้อมูลทางการค้าเพื่อเอาผลประโยชน์นั้นเป็นของตน หรือนำข้อมูลมาหลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม


2. อธิบายความหมายของ

2.1 Hacker คือ ผู้ที่พยายามหาวิธีการหรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสาร หรือทำความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การลบรายชื่อลูกหนี้การค้า การลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบ

2.2 Cracker คือ บุคคลที่บุกรุกหรือรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลด้วยเจตนาร้าย เมื่อบุกรุกเข้าสู่ระบบ จะทำลายข้อมูลที่สำคัญทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์

2.3 สแปม คือ การส่งข้อความถึงผู้ที่ไม่ต้องการรับ ก่อให้เกิดความรำคาญ ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และผิดกฏหมาย ลักษณะของสแปม คือ ไม่ปรากฏชื่อผู้ส่ง (Anonymous) ส่งโดยไม่เลือกเจาะจง (Indiscriminate) และส่งได้ทั่วโลก (Global) การ SPAM มีทั้งการสแปมเมล์ (Spam Mail) และ การสแปมบอร์ด ( Spam Board)

2.4 ม้าโทรจัน คือ โปรแกรมที่ซ่อนตัวอยู่ในฮาร์ดดิสก์ด้วยฝีมือของแฮคเกอร์ ที่อาจส่งโค้ดแฝงมากับไฟล์แนบท้ายอีเมล การทำงานของโทรจันก็เหมือนกับเรื่องเล่าของกรีก ที่ว่าด้วยกลอุบายซ่อนทหารไว้ในม้าไม้ขนาดใหญ่ และนำไปมอบให้กับชาวเมืองทรอย (Trojans) พอตกกลางคืนทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ก็ลอบออกมาเปิดประตูเมืองให้พวกของตนบุกเข้าตีเมืองทรอยได้อย่างง่ายดาย เปรียบได้กับแฮคเกอร์ที่ส่งโปรแกรมลึกลับ (ม้าโทรจัน) มาคอยดักเก็บข้อมูลในพีซีของคุณ แล้วส่งออกไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวนั่นเอง

2.5 สปายแวร์ คือ โปรแกรมที่แฝงเข้ามาในคอมพิวเตอร์ขณะที่คุณท่องอินเตอร์เน็ต ถูกเขียนขึ้นมาสอดส่อง การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ และจะทำการเก็บพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตของเรา รวมถึงข้อมูลส่วนตัวหลาย ๆ อย่างได้แก่ ชื่อ - นามสกุล , ที่อยู่ , E-Mail--mlinkarticle--} Address และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงสิ่งสำคัญต่าง ๆ เช่น Password หรือ หมายเลข บัตรเครดิตของเราด้วย นอกจากนี้อาจจะมีการสำรวจโปรแกรม และไฟล์ต่าง ๆ ในเครื่องเราด้วย และ สปายแวร์ (Spyware) นี้จะทำการส่งข้อมูลดังกล่าวไปในเครื่องปลายทางที่โปรแกรมได้ระบุเอาไว้ ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ในเครื่องของคุณอาจไม่เป็นความลับอีกต่อไป


3. จงยกตัวอย่างกฎหมาย ICT หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีอะไรบ้าง จงอธิบายถึงการกระทำผิดและบทลงโทษ มา 5 ตัวอย่าง

ปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการประกอบกิจการ จึงมี กฏหมาย พรบ.คอมพิวเตอร์ ที่กำหนดบทลงโทษ

๑) มาตรา ๕ ระบุว่า ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบ ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

๒) มาตรา ๗ ระบุว่า ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง ปรับ เช่น แฮกเกอร์หรือพวกมือดีชอบแอบก๊อปปี้ขโมยข้อมูลของบริษัทออกไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจะโดนคดีอาญายอมความไม่ได้ ติดคุกสูงสุดตั้งแต่ ๖ เดือน ถึง ๒ ปี ปรับสูงสุดอีกตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐– ๔๐,๐๐๐ บาท

๓) มาตรา ๙ ระบุว่า ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

๔) มาตรา ๑๐ ระบุว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปีหรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่นการกระทำประเภทมือดีแอบลบไฟล์คนอื่น สร้างไวรัสที่ทำลายข้อมูลหรือมีการแก้ไขข้อมูลบางส่วน รวมไปถึงการกระทำที่มีผลให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่เป็นไปตามปกติด คือ ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน พวกนี้โดนเล่นงานหมด

๕) มาตรา ๑๔ ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่น๑. นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือน่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน๒. นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม


********************************************



การเดินทาง ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.